Follow us

TEAM GROUP

Home การจัดการความยั่งยืนในมิติสิ่งแวดล้อม

การจัดการความยั่งยืนในมิติสิ่งแวดล้อม

นโยบายการจัดการสิ่งแวดล้อม

          บริษัทยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โดยปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อบังคับ และมาตรฐานที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด พร้อมกำหนดแนวทางการบริหารจัดการผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงาน ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพ ความปลอดภัยของผู้มีส่วนได้เสีย และสังคมโดยรวม บริษัทฯ ตระหนักดีว่าการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงทางกฎหมายและชื่อเสียงองค์กร แต่ยังส่งเสริมความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้เสียและการยอมรับจากชุมชน โดยมุ่งเน้นการดำเนินงานภายใต้นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและแนวทางที่เกี่ยวข้อง เช่น การจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน การจัดการของเสีย และการส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ บริษัทฯ ยังสนับสนุนแนวปฏิบัติที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกิจกรรมทางธุรกิจ ตลอดจนมีส่วนร่วมในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ เพื่อให้ธุรกิจเติบโตควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างยั่งยืน

รายละเอียด “นโยบายเพื่อความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม”

 

ผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม

1) การจัดการพลังงาน

          การจัดการพลังงานมีความสำคัญต่อบริษัทซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านวิศวกรรม เนื่องจากช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน สนับสนุนโครงการที่ยั่งยืน และช่วยให้ลูกค้าพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น อาคารสีเขียวและพลังงานทดแทน (Solar Rooftop) รวมถึงการใช้เทคโนโลยีประหยัดพลังงานอย่างระบบ Smart Chiller อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการควบคุมที่ดี อาจนำไปสู่การใช้พลังงานที่ไม่คุ้มค่าและส่งผลต่อค่าใช้จ่าย รวมถึงการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายด้านพลังงานอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและภาพลักษณ์ของบริษัท ในทางกลับกัน การบริหารพลังงานที่มีประสิทธิภาพเปิดโอกาสให้บริษัทลดต้นทุน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และขยายธุรกิจด้วยบริการด้าน Smart Energy รวมถึงช่วยให้บริษัทสามารถปฏิบัติตามมาตรฐานด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนในอุตสาหกรรมวิศวกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

แนวทางการดำเนินงาน

          ในการดำเนินงานด้านการจัดการพลังงาน บริษัทได้แต่งตั้งคณะทำงานด้านการจัดการพลังงาน เพื่อให้การจัดการพลังงานของบริษัทเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิผล คณะกรรมการด้านการจัดการพลังงานมีหน้าที่ดำเนินการจัดการพลังงานให้สอดคล้องกับนโยบายอนุรักษ์พลังงานและวิธีการจัดการพลังงาน รวมทั้งประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความร่วมมือในการปฏิบัติตามนโยบายและวิธีการดังกล่าว นอกจากนี้ยังจัดฝึกอบรมและกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงานให้กับบุคลากรทุกระดับ และควบคุมการจัดการพลังงานให้เป็นไปตามนโยบายที่กำหนด พร้อมทั้งรายงานผลการอนุรักษ์พลังงานให้ประธานเจ้าหน้าที่บริหารทราบ และเสนอแนะเกี่ยวกับการทบทวนนโยบายและวิธีการจัดการพลังงานเพื่อพิจารณา อีกทั้งยังสนับสนุนฝ่ายบริหารในการดำเนินการตามกฎหมายด้านพลังงาน

 

โดยบริษัทได้กำหนดแนวทางการบริหารจัดการพลังงานทั้งภายในองค์กร และในการดำเนินงานของบริษัท เพื่อตอบสนองต่อนโยบายและเป้าหมายที่กำหนดไว้ รวมทั้งสนับสนุนให้เกิดการใช้และลดปริมาณการใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

 

บริษัทกำหนดเป้าหมายในการลดปริมาณการใช้ไฟฟ้า ดังนี้

ผลการดำเนินงาน

  • การลดการใช้พลังงานในการทำงาน รณรงค์ให้พนักงานปิดไฟช่วงพักกลางวันในแต่ละวัน และการเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงานในอาคารทั้งอาคาร เช่น หลอดไฟฟ้าแบบประหยัด (LED) รวมไปถึงโดยการศึกษาแนวทางการลดการใช้น้ามัน เช่น การจัดซื้อจัดจ้างรถยนต์ไฟฟ้า EV มาใช้ทดแทนรถยนต์เดิม

  • การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน บริษัทมีการศึกษา และพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยเน้นไปที่ระบบทำความเย็น (Cooling System) ของอาคาร เนื่องจากเป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดในค่าใช้จ่ายไฟฟ้าของอาคาร ตั้งแต่ปี 2564 บริษัทจึงได้ดำเนินการติดตั้งระบบ Smart Chiller ที่อาคารทีม เพื่อช่วยประหยัดการใช้พลังงานของอาคาร ทำให้ค่าไฟฟ้าของบริษัทลดลง
  • การอนุรักษ์พลังงานในสำนักงาน คณะทำงานด้านการจัดการพลังงาน บริษัทรณรงค์ และเผยแพร่ข้อมูลความรู้ในช่องทางการสื่อสารภายในของบริษัท เช่น อินทราเน็ต เฟซบุ๊กภายในของบริษัท บอร์ดประชาสัมพันธ์ในลิฟท์ เป็นต้น เกี่ยวกับเคล็ดลับการประหยัดพลังงานให้กับพนักงาน  เช่น การรณรงค์ให้ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อไม่ใช้งาน เปิดเครื่องปรับอากาศในอุณหภูมิที่เหมาะสม 25-26 องศา
  • การจัดอบรมพนักงาน บริษัทได้จัดอบรมให้ความรู้โดยวิทยากรภายนอก หลักสูตร “จิตสำนึกการอนุรักษ์พลังงานและการประหยัดพลังงาน” ประจำปี 2567 หัวข้อ การอนุรักษ์พลังงาน และพลังงานทดแทนจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2568  ให้กับพนักงานจำนวน 76 คน

  • การผลิต/ใช้พลังงานหมุนเวียน ในปี 2563 บริษัทได้ลงทุนติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาอาคารทีม (PV Solar System) ขนาด 90.09 kWp วงเงิน 2.5 ล้านบาท เพื่อเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดมาเป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อใช้งานภายในอาคาร โดยพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จากระบบฯ ช่วยลดปริมาณการซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และระบบผลิตไฟฟ้าไม่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งยังช่วยลดภาวะโลกร้อนอีกด้วย
  • สรุปการใช้พลังงานของบริษัท ในปี 2567 บริษัทใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด รวมการใช้พลังงานหมุนเวียนจาก Solar Rooftop รวมทั้งสิ้น 1,388,832 กิโลวัตต์/ชั่วโมง (kWh)
     
    ในปี 2567 บริษัทมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าจากการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ซึ่งคำนวณเป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 2 หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานไฟฟ้าได้ ดังนี้

          ในปี 2567 บริษัทมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 7.62% จากปี 2566 เกิดจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณงานของบริษัท ซึ่งสะท้อนจากการเติบโตของรายได้ที่สูงขึ้น 12.40% โดยปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 7.62% ในขณะที่ intensity ของการใช้ไฟฟ้าต่อรายได้ (kWh/ล้านบาท) ลดลงจาก 709.7 ในปี 2566 เป็น 679.5 ในปี 2567 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้ว่าปริมาณการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น แต่บริษัทสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น

2) การจัดการทรัพยากรน้ำ

ในฐานะที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมและการบริหารจัดการน้ำ บริษัทจึงให้ความสำคัญต่อการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน แต่ยังช่วยส่งเสริมการพัฒนาโครงการที่ยั่งยืน เช่น โครงการบริหารจัดการน้ำ การออกแบบระบบการจัดการน้ำเสีย และการนำเทคโนโลยีที่ประหยัดน้ำมาใช้ ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรน้ำและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการขยายธุรกิจ และการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม การละเลยในการจัดการน้ำที่ดีอาจทำให้บริษัทเผชิญกับผลกระทบด้านภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นจากผู้มีส่วนได้เสียในระยะยาว

 

แนวทางการดำเนินงาน 

คณะทำงานบรรษัทภิบาลและความยั่งยืนของบริษัทที่ประกอบด้วยหลายภาคส่วนในองค์กรมุ่งเน้นการสนับสนุนให้ทุกหน่วยงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดแนวทางในการลดการใช้น้ำ ลดการสูญเสียน้ำ และหมุนเวียนน้ำใช้ในองค์กร การติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดน้ำ แนวทางการจัดการระบบบำบัดน้ำเสียทั้งหมดที่เกิดจากกิจกรรมต่างๆ ภายในอาคารทีม และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบการรั่วไหลของน้ำ และการลดการสูญเสียน้ำ รวมไปถึงรณรงค์ให้พนักงานใช้ทรัพยากรน้ำอย่างรู้คุณค่า สร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์น้ำ

บริษัทกำหนดเป้าหมายในการลดปริมาณการใช้น้ำ ดังนี้

 

ผลการดำเนินงาน 

  • การลดการใช้น้ำ ภายในสำนักงาน บริษัทประชาสัมพันธ์ให้ตรวจสอบการปิดน้ำทุกครั้งเมื่อไม่ใช้อุปกรณ์ อาทิ การปิดน้ำในขณะล้างมือหรือแปรงฟัน ไม่เปิดน้ำทิ้งขณะล้างจาน ในโครงการก่อสร้างบริษัทใช้ระบบหมุนเวียนน้ำเพื่อลดปริมาณการใช้น้ำจืด เช่น การเก็บและบำบัดน้ำที่ใช้แล้วจากการล้างอุปกรณ์และผสมคอนกรีตเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงการเลือกใช้อุปกรณ์ประหยัดน้ำ เช่น หัวฉีดแรงดันต่ำและก๊อกน้ำระบบเซ็นเซอร์ เพื่อลดการไหลทิ้งโดยไม่จำเป็น
  • การลดการสูญเสียน้ำ บริษัทให้ความสำคัญในการใช้น้ำอย่างคุ้มค่า โดยการปรับปรุงระบบการใช้น้ำในสำนักงานและโครงการต่าง ๆ เช่น การติดตั้งก๊อกน้ำแบบหยุดอัตโนมัติ การตรวจสอบและซ่อมแซมการรั่วไหลของระบบน้ำประปา
  • การหมุนเวียนน้ำใช้/ รีไซเคิลน้ำ บริษัทส่งเสริมการหมุนเวียนน้ำใช้ในบริษัท เช่น ใช้น้ำหมุนเวียนจากอ่างล้างจานในการรดน้ำต้นไม้ และประชาสัมพันธ์ให้พนักงานนำน้ำที่ใช้ล้างผักผลไม้ ไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นต่อ เช่นรดน้ำต้นไม้ เป็นต้นนอกจากนี้ บริษัทได้ดำเนินโครงการลงทุนนวัตกรรม ได้แก่ โครงการบำบัดน้ำเสียและนำกลับมาใช้ใหม่ (Water Recycling) บริเวณพื้นที่สวนหลวง-สามย่าน ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 2562 โดยบริษัทเป็นผู้ลงทุน ซึ่งมีขนาดกำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 240 ลบ.ม./วัน โดยรับน้ำทิ้งจากการอุปโภคบริโภคของอาคาร CU-Terrace และ CU I-HOUSE มาบำบัดและจำหน่ายกลับให้แก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อนำไปรดน้ำต้นไม้ของอุทยานจุฬา 100 ปีและบริเวณโดยรอบ ระยะเวลาดำเนินการ 11 ปี ตั้งแต่ปี 2563-2574
  • การบริหารจัดการน้ำเสีย บริษัทกำหนดแนวทางการจัดการระบบบำบัดน้ำเสียทั้งหมดที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ภายในอาคารทีม โดยใช้ระบบบำบัดน้ำเสียทางชีววิทยาชนิดเติมอากาศแบบมีตัวกลางยึดเกาะ (Fixed Film Aeration System) ขนาด 100 ลบ.ม./วัน เพื่อบำบัดน้ำเสียให้มีคุณภาพน้ำทิ้งตามเกณฑ์มาตรฐานการควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากอาคาร ตามประกาศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก่อนจะปล่อยเข้าสู่ระบบระบายน้ำสาธารณะ
  • สรุปการใช้น้ำทั้งหมดของบริษัท ในปี 2567 บริษัทมีปริมาณการใช้น้ำประเภทต่างๆ ดังนี้
    • น้ำประปา รวมทั้งสิ้น 21,217 ลบ.ม.
    • น้ำเสีย ที่ปล่อยเข้าสู่รบบบำบัดรวมทั้งสิ้น 13,763 ลบ.ม.

          ในปี 2567 บริษัทมีการใช้น้ำเพิ่มขึ้น 7.35% จากปี 2566 เนื่องจากการเติบโตของการดำเนินงานและปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนจากรายได้ที่เติบโต 12.40% จาก 1,685.32 ล้านบาทในปี 2566 เป็น 1,894.33 ล้านบาทในปี 2567 แม้ว่าปริมาณการใช้น้ำจะเพิ่มขึ้น แต่ intensity การใช้น้ำต่อรายได้ (ลบ.ม./ล้านบาท) กลับลดลงจาก 11.7 ในปี 2566 มาอยู่ที่ 11.2 ในปี 2567 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทสามารถปรับปรุงการใช้น้ำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อเทียบกับการเติบโตของรายได้

3) การจัดการขยะ และของเสีย

          บริษัทให้ความสำคัญกับการจัดการขยะและของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงานและสนับสนุนแนวทางความยั่งยืน เช่น การลดปริมาณกระดาษที่ใช้ในการจัดทำรายงาน การรีไซเคิลเอกสาร และการลดของเสียที่เกิดจากกระบวนการภายในองค์กร การจัดการขยะที่ดีช่วยให้บริษัทใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเสริมสร้างความน่าเชื่อถือด้านการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

แนวทางการดำเนินงาน 

          คณะทำงานบรรษัทภิบาลและความยั่งยืนของบริษัทมีหน้าที่กำหนดแนวทางการจัดการขยะและของเสียให้มีประสิทธิภาพ โดยเน้นการลดปริมาณขยะ ลดการนำไปฝังกลบ และส่งเสริมการรีไซเคิล รวมถึงการกำหนดมาตรการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง และการนำขยะที่สามารถใช้ประโยชน์กลับมาใช้ใหม่ ทั้งนี้ หน่วยธุรการและบริการทั่วไป รับผิดชอบการดำเนินงานตามแนวทางที่กำหนด เช่น จัดหาถังแยกขยะตามประเภท ดูแลกระบวนการนำขยะไปรีไซเคิล และตรวจสอบปริมาณขยะที่เกิดขึ้นในสำนักงาน พร้อมร่วมกับฝ่ายสื่อสารองค์การรณรงค์ให้พนักงานทุกระดับมีส่วนร่วมในการลดขยะและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เพื่อให้การจัดการของเสียของบริษัทเป็นไปตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
 
 บริษัทกำหนดเป้าหมายในการลดปริมาณขยะในองค์กร ดังนี้

ผลการดำเนินงาน 

  • การลดการเกิดขยะและของเสีย ในส่วนสำนักงาน บริษัทมีนโยบายเปลี่ยนมาจัดเก็บเอกสารในรูปแบบดิจิทัล และจัดส่งทางอีเมล เพื่อมุ่งสู่การทำงานแบบ Paperless ลดปริมาณการใช้กระดาษลง เช่น เอกสารวาระการประชุมคณะกรรมการต่างๆ แบบประเมินพนักงาน เป็นต้น นอกจากนั้นยังนำระบบบริหารจัดการเอกสารมาใช้ในทุกโครงการที่เป็นการบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง ลดการใช้เอกสารเวียนภายในบริษัท ทั้งเอกสารทางด้านบัญชีและการเงิน รวมทั้งเอกสารด้านการจัดซื้อจัดจ้าง เป็นต้น ในส่วนไซต์โครงการ บริษัทนำแนวคิด 3R (Reduce, Reuse, Recycle) มาใช้ โดยลดการใช้วัสดุที่ไม่จำเป็น คัดแยกวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ เช่น ไม้ นั่งร้าน และเศษเหล็ก เพื่อนำกลับมาใช้ในงานอื่น รวมถึงส่งวัสดุเหลือใช้ที่สามารถรีไซเคิลได้ไปยังโรงงานรีไซเคิล เพื่อลดปริมาณขยะที่ต้องกำจัด
  • ลดการนำไปฝังกลบ เช่น แยกขยะรีไซเคิล reuse บริษัทให้ความสำคัญกับการลดขยะ และนำขยะกลับมาใช้ใหม่ ตามแนวทาง 3R Reduce Reuse Recycle โดยเฉพาะสำหรับกระดาษเสียที่เกิดจากการจัดทำรายงาน มีการรณรงค์ให้นำกลับมาใช้พิมพ์และถ่ายเอกสารส่วนด้านหลังที่ยังใช้ได้ และหลังจากนำมาใช้ประโยชน์ทุกด้านแล้ว จะมีการรวบรวมเพื่อส่งขายเป็นวัสดุรีไซเคิลต่อไปนอกจากนี้ บริษัทดำเนินการคัดแยกขยะที่เป็นขวดพลาสติกเพื่อส่งไปรีไซเคิล รวมทั้งการเลือกใช้อุปกรณ์สำนักงานที่มีคุณภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • การให้ความรู้และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงาน ในปี 2567 บริษัทได้ดำเนินโครงการแยกขยะพลาสติกและขยะอินทรีย์ (เศษอาหาร) ออกจากกัน โดยให้พนักงานลดการใช้พลาสติกและให้ความรู้กับพนักงานในการทิ้งขยะพลาสติกและขยะอินทรีย์อย่างถูกวิธี โดยแยกถังขยะสำหรับขวดพลาสติกและเศษอาหารโดยเฉพาะ และนำขวดพลาสติกที่แยกไว้ไปบริจาคให้แก่ปั๊มน้ำมัน เพื่อสนับสนุนการรีไซเคิล ลดการนำไปฝังกลบนอกจากนี้ บริษัทได้รณรณค์พนักงานให้ลดการสร้างขยะให้น้อยกว่าหรือเท่ากับ 0.3 กิโลกรัม/คน/วัน อีกด้วย โดยในปี 2567 พนักงานสร้างขยะในอัตราส่วน 0.34 กิโลกรัม/คน/วัน
  • สรุปปริมาณชยะของเสียต่าง ๆ ในปี 2567

    ในปี 2567 บริษัทมีปริมาณขยะลดลง 70.33% จากปี 2566 intensity ของปริมาณขยะต่อรายได้ (ตัน/ล้านบาท) ลดลงจาก 0.077 ในปี 2566 เป็น 0.020 ในปี 2567 คิดเป็นอัตราการลดลง 73.61% ทั้งนี้ ปี 2566 บริษัทใช้วิธีการคำนวณโดยใช้อัตราการเกิดเฉลี่ยของขยะ ส่วนในปี 2567 บริษัทใช้วิธีการชั่งน้ำหนัก อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 บริษัทสามารถปรับปรุงการบริหารจัดการขยะให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้ธุรกิจจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ขยะอันตรายของบริษัทมีปริมาณน้อย ไม่มีนัยสำคัญ

4) การจัดการมลพิษทางอากาศ

          การป้องกันและลดผลกระทบจากการปล่อยมลพิษและของเสียในพื้นที่โครงการก่อสร้าง บริษัท ซึ่งเป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้าง และผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยมีหน่วยงานบริหารและควบคุมงานก่อสร้างได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ตามข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมให้มีผลกระทบจากมลพิษและของเสียต่าง ๆ เช่น ฝุ่นละออง (TSP) ก๊าซมลพิษ คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) เสียงดัง น้ำเสีย และขยะ น้อยที่สุดเท่าที่จะปฏิบัติได้ โดยมีการฉีดพรมน้ำในพื้นที่ก่อสร้าง/ถนนเข้า-ออก ฉีดล้างล้อรถบรรทุกก่อนออกจากพื้นที่ก่อสร้าง ตรวจสอบการทำงานของเครื่องจักร-อุปกรณ์ให้อยู่ในสภาพดีเพื่อป้องกันเสียงดังรบกวน และกำหนดเวลาการทำงานที่ไม่รบกวนชุมชนใกล้เคียง บำบัดน้ำเสียที่เกิดขึ้นในพื้นที่ก่อสร้างให้ได้มาตรฐานก่อนระบายออกสู่ภายนอก และจัดการขยะด้วยระบบ 3R (Reduce, Re-use Recycle) ก่อนส่งไปกำจัดภายนอกโดยหน่วยงานที่ได้รับอนุญาต
 
          การเฝ้าระวังคุณภาพอากาศและเสียงรบกวนจากกิจกรรมการก่อสร้าง โดยการตรวจวัดค่าความเข้มข้นของ TSP CO SO₂ NO₂ ระดับเสียงสูงสุด และระดับเสียงเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ทั้งภายในพื้นที่ก่อสร้างและชุมชน/พื้นที่อ่อนไหวที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามประสิทธิภาพในการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และเฝ้าระวังผลกระทบจากกิจกรรมการก่อสร้างต่อคนงานในพื้นที่ก่อสร้างและประชาชนในชุมชน/พื้นที่อ่อนไหวที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
 
          การดำเนินการดังกล่าวช่วยให้บริษัทสามารถสร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้า ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมแนวทางการก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม หากไม่มีมาตรการควบคุมที่ดี อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศและเสียงรบกวน สร้างข้อร้องเรียนจากชุมชน และเสี่ยงต่อการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจนำไปสู่ผลกระทบต่อภาพลักษณ์และการดำเนินธุรกิจในระยะยาว ดังนั้น การเฝ้าระวังและตรวจสอบคุณภาพอากาศและเสียงอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการบริหารจัดการผลกระทบจากกิจกรรมการก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพ
 
บริษัทกำหนดตั้งเป้าหมายด้านการปล่อยมลพิษในโครงการก่อสร้าง ดังนี้

แนวทางการดำเนินงาน 

มาตรการเพื่อลดการปล่อยมลพิษทางอากาศ ของบริษัท มีดังนี้

ในการควบคุมและลดการปล่อยมลพิษทางอากาศ งานที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง บริษัทโดยหน่วยงานบริหารและควบคุมงานก่อสร้างสามารถแนะนำและกำหนดมาตรการที่ชัดเจนให้แก่ผู้รับเหมาก่อสร้าง เช่น

  • ใช้เครื่องจักรที่มีมาตรฐาน Euro 4 หรือสูงกว่า เพื่อลดการปล่อย CO₂ และ NOx
  • ใช้น้ำยาระงับฝุ่น (Dust Suppressant) หรือฉีดพ่นน้ำทุก 2 ชั่วโมง เพื่อลดฝุ่นละอองจากการขุดดินและการขนส่ง
  • กำหนดให้ใช้รถบรรทุกที่มีผ้าใบคลุม เพื่อลดการฟุ้งกระจายของฝุ่นระหว่างการขนส่ง
  • จัดทำเส้นทางเดินรถที่สั้นที่สุด และหลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางที่มีการจราจรติดขัดเพื่อลดการปล่อย CO₂ จากการเดินทาง
  • ใช้วัสดุก่อสร้างที่ผลิตจากกระบวนการที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ เช่น คอนกรีตที่ใช้วัสดุรีไซเคิลหรือปูนซีเมนต์ผสม

การควบคุมและติดตามผลการลดการปล่อยมลพิษทางอากาศเป็นส่วนสำคัญของงานที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง โดยบริษัททำการตรวจวัดทุก 3 เดือน ในบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง โดยแนวทางการติดตามผลดังนี้

  • ติดตามปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้ ในเครื่องจักรและยานพาหนะเป็นรายเดือนและเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กำหนด
  • ตรวจวัดคุณภาพอากาศภายในและรอบพื้นที่ก่อสร้าง เป็นระยะ และรายงานผลให้ผู้เกี่ยวข้องรับทราบ
  • รายงานค่าการปล่อย CO₂ และฝุ่นละอองในพื้นที่ก่อสร้าง ทุกไตรมาสในรายงานความยั่งยืนของโครงการ
  • ดำเนินการตรวจสอบเครื่องจักรและยานพาหนะ ให้มีการบำรุงรักษาตามกำหนดเพื่อลดการปล่อยมลพิษ

ผลการดำเนินการควบคุมและเฝ้าระวังด้านมลพิษและของเสียในโครงการก่อสร้าง

          ผลการควบคุมการปล่อยมลพิษจากการก่อสร้างอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ทั้งหมด แสดงถึงความรับผิดชอบในการปฏิบัติตามมาตรการสิ่งแวดล้อมเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชุมชนใกล้เคียงของบริษัทฯ

          นอกจากนี้ ในปี 2567 บริษัทยังดำเนินโครงการที่ปรึกษาที่มีส่วนช่วยลดการปล่อยมลพิษทางอากาศ โดยให้บริการโครงการศึกษาผลประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมในการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของภาครัฐ ของกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกจากการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) แทนรถสันดาปภายในในภาครัฐ พร้อมพัฒนาวิธีคำนวณการลดก๊าซเรือนกระจกและสำรวจข้อมูลการใช้รถยนต์ของหน่วยงานราชการทั่วประเทศ รวมถึงศึกษาค่าใช้จ่ายและประโยชน์ทางเศรษฐศาสตร์ระหว่างการใช้รถ EV และรถสันดาปภายใน ศึกษาผลประโยชน์ทางสิ่งแวดล้อมและพัฒนาโมเดลธุรกิจคาร์บอนต่ำเพื่อขับเคลื่อนนโยบาย EV ให้ครอบคลุมทั่วประเทศและเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนมาใช้รถ EV ทั่วประเทศ ซึ่งโครงการนี้ช่วยสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการใช้รถที่ใช้น้ำมัน ลดการเกิดฝุ่นละออง PM 2.5 และมลพิษต่าง ๆ อาทิ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ไนโตรเจนออกไซด์ (NOₓ) คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) และมลพิษทางเสียง เป็นต้น

 

5)  การจัดการเพื่อลดปัญหาก๊าซเรือนกระจก

          การจัดการเพื่อลดปัญหาก๊าซเรือนกระจกเป็นประเด็นสำคัญที่บริษัทให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมและการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ในฐานะที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมและสิ่งแวดล้อม บริษัทได้ขยายขอบเขตการให้บริการไปสู่การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรและการเป็นผู้ทวนสอบก๊าซเรือนกระจก (VVB) ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเป็นระบบ และปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมระดับสากล โอกาสจากการดำเนินงานด้านนี้ทำให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อแนวโน้มของภาคธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการลดคาร์บอน รองรับข้อกำหนดด้านความยั่งยืน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่บริการของบริษัท อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม อาจส่งผลให้บริษัทไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดของภาครัฐและมาตรฐานสากลด้านการทวนสอบก๊าซเรือนกระจกได้ อีกทั้งอาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจของลูกค้า ดังนั้น การดำเนินงานด้านนี้อย่างมีประสิทธิภาพและการพัฒนาขีดความสามารถในการให้บริการด้านคาร์บอนฟุตพริ้นท์และการทวนสอบก๊าซเรือนกระจกจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้บริษัทสามารถแข่งขันและเติบโตได้ในระยะยาว

แนวทางดำเนินงาน  

บริษัทให้ความสำคัญในลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งในการปฏิบัติงานในองค์กร และในกระบวนการทำงานโครงการโดยบริษัทได้กำหนดบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการและผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสภาพภูมิอากาศ ดังนี้

 
  • คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง มีหน้าที่กำกับดูแลและบริหาร ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ ESG โดยเฉพาะ ความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริษัทให้เป็นผู้กำหนด นโยบายและกรอบการบริหารความเสี่ยงด้าน ESG เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กร และกำกับดูแลให้บริษัทสามารถปรับตัวและลดผลกระทบจากความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
  • คณะกรรมการบรรษัทภิบาลและความยั่งยืน มีบทบาทสำคัญในการกำหนด นโยบายและกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทดำเนินธุรกิจตามหลัก ธรรมาภิบาลและความยั่งยืน โดยเฉพาะการจัดการผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัจจัยด้าน ESG อื่นๆ คณะกรรมการชุดนี้ทำหน้าที่ กำหนดวิสัยทัศน์และแนวทางการดำเนินงานด้าน ESG รวมถึงติดตามการปฏิบัติตามนโยบายที่กำหนดไว้
  • คณะทำงานบรรษัทภิบาลและความยั่งยืน เป็นหน่วยปฏิบัติการที่ประกอบด้วย ผู้บริหารจากทุกส่วนงานในบริษัท ซึ่งมีหน้าที่ ดำเนินงานตามนโยบายและกลยุทธ์ ESG ที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบรรษัทภิบาลและความยั่งยืน และคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง ได้แก่ การระบุปัจจัยความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำหนดเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การติดตามและวัดผลการดำเนินงานด้าน ESG เพื่อให้แน่ใจว่ามาตรการที่กำหนดไว้สามารถบรรลุเป้าหมาย และมีการรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะกรรมการบริษัทอย่างต่อเนื่อง
 

*เหตุผลในการกำหนดเป้าการลดการใช้ประเภท 1 และ 2 ในการตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากเป็นขอบเขตที่เกิดขึ้นจากการดำเนินกิจกรรมขององค์กร หรือทางบริษัทมีอำนาจในการควบคุมการปล่อยหรือการดูดกลับก๊าซเรือนกระจก เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลแบบเคลื่อนที่ของยานพาหนะขององค์กร การใช้ไฟฟ้า เป็นต้น นอกจากนี้ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกประเภท 3 จะเป็นก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากการดำเนินกิจกรรมของหน่วยงานภายนอก เช่น คู่ค้า/ผู้ให้บริการ และบริษัทรับเหมา เป็นต้น ทำให้ไม่สามารถควบคุมการปล่อยหรือการดูดกลับ รวมถึงไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลปริมาณและแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้

          นอกจากนี้ บริษัทกำหนดเป้าหมายที่จะเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2065 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศไทย

ผลการดำเนินงาน 

          ในปี 2567 บริษัทได้รวบรวมข้อมูลและคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรโดยใช้แนวทางการประเมินคาร์บอนฟุตปริ้นท์ขององค์บริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • ก๊าซเรือนกระจกโดยตรง (Scope 1) เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงต่าง ๆ ของบริษัท เช่น น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน การรั่วซึมของสารทำความเย็น และการรั่วไหลของมีเทน (CH4) จากระบบ Septic tank
  • ก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (Scope 2) เกิดจากการใช้พลังงานไฟฟ้าโดยบริษัท ดังรายละเอียดในหัวข้อ “การจัดการพลังงาน”
  • ก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ (Scope 3) เกิดจากซื้ออุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ การใช้กระดาษ การใช้น้ำประปา และเดินทางทางอากาศของพนักงาน และปริมาณขยะในองค์กร

บริษัทกำหนดแนวทางในการลดก๊าซเรือนกระจก โดยเน้นการลดการใช้พลังงานไฟฟ้าตามรายละเอียดในหัวข้อ “การจัดการพลังงาน” และลดการใช้ทรัพยากร วัสดุสิ้นเปลืองต่าง ๆ ทั้งกระดาษ ขวดและถุงพลาสติก นำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ นำนโยบาย Paperless มาใช้ในกระบวนการทำงานต่าง ๆ ทั้งการใช้เอกสารดิจิทัลในการประชุมคณะกรรมการต่าง ๆ ลดการใช้เอกสารเวียนภายในบริษัท เช่น เอกสารทางด้านบัญชีและการเงิน เอกสารด้านการจัดซื้อจัดจ้าง เป็นต้น

*สำหรับข้อมูล การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัทในปี 2567 ได้รับการทวนสอบโดยบริษัท บีเอสไอ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด และได้ผ่านการขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรตามแนวทางขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) แล้ว เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568

บริษัทได้เปลี่ยนแปลงปีฐานของบริษัทจากปี 2566 เป็นปี 2567 ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม 2567 เพื่อเป็นปีอ้างอิงการคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และจัดทำบัญชีรายการก๊าซเรือนกระจกขององค์กรโดยเปรียบเทียบกับปีอื่น ๆ ต่อไป เนื่องด้วยในปี 2567 บริษัทได้มีการรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมให้มีความครอบคลุมกิจกรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพื่อสะท้อนกิจกรรมที่เกิดขึ้น และประกอบกำรคำนวณปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้ตรงตามข้อเท็จจริงมากที่สุด

บริษัทมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร ในปี 2567 จำนวนทั้งหมด 4,856 tCO2e โดยสามารถแยกเป็นกิจกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดของในแต่ละขอบเขต และแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ดังนี้

ขอบเขตที่ 1 การเผาไหม้ของน้ามันที่ใช้ในพาหนะเพื่อการทางานขององค์กร คิดเป็น 99% ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 1 โดยกาลังศึกษาแนวทางการลดการใช้น้ามัน เช่น การจัดซื้อจัดจ้างรถยนต์ไฟฟ้า EV มาใช้ทดแทนรถยนต์เดิม

ขอบเขตที่ 2 การใช้พลังงานไฟฟ้าในส่วนของสำนักงาน คิดเป็น 99% ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 2 โดยบริษัทมีการจัดทำกิจกรรมและรณรงค์ให้พนักงานร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการประหยัดพลังงานไฟฟ้า เช่น การปิดสวิตช์ไฟเมื่อเลิกใช้งาน/เวลาพักเที่ยง การเปิดเครื่องปรับอากาศในอุณหภูมิ ที่เหมาะสม 25 – 26 องศา และปิดเครื่องปรับอากาศในเวลาพักเที่ยง จำนวน 1 ชั่วโมง

ขอบเขตที่ 3 การซื้ออุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ คิดเป็น 66% ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 3 โดยบริษัทรณรงค์ให้พนักงานใช้น้ำประปาอย่างประหยัด ส่งเสริมการทำงานแบบ paperless และแยกขยะเพื่อนำไปรีไซเคิลต่อไป

6)  คุณภาพวัสดุก่อสร้าง

          การจัดการวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญต่อบริษัทเนื่องจากช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเสริมสร้างภาพลักษณ์ของบริษัทในฐานะที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมที่มุ่งเน้นความยั่งยืน โดยการแนะนำการออกแบบอาคารสีเขียวตามมาตรฐาน LEED และ TREES รวมถึงการสนับสนุนการใช้วัสดุที่ประหยัดพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมถึงการเลือกวัสดุที่ผ่านการประเมิน Life Cycle Assessment (LCA) ซึ่งช่วยเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจในตลาดที่มีการตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม การเลือกวัสดุก่อสร้างที่ไม่เหมาะสมหรือการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายด้านวัสดุก่อสร้างอาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของบริษัทและทำให้สูญเสียความไว้วางใจจากลูกค้า ดังนั้น การควบคุมการใช้วัสดุก่อสร้างตามมาตรฐานที่กำหนดจึงเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต

แนวทางการดำเนินงาน  

          ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาออกแบบ และควบคุมงานก่อสร้าง บริษัทมีบทบาทสำคัญในการกำหนดแนวทางและมาตรการลดของเสียจากกระบวนการก่อสร้างเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทกำหนดแนวทาง ดังนี้

• การเลือกใช้วัสดุก่อสร้าง

บริษัทกำหนดมาตรการในการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นการใช้วัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิลได้ เช่น คอนกรีตผสมเศษแก้ว และเหล็กเส้นจากวัสดุรีไซเคิล รวมถึงการออกแบบอาคารและโครงสร้างที่คำนึงถึงการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดผลกระทบในระยะยาว

• การลดของเสียเหลือใช้จากวัสดุก่อสร้าง

          บริษัทมุ่งมั่นในการวางแผนการใช้วัสดุให้มีประสิทธิภาพสูงสุดตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ เพื่อให้ลดปริมาณของเสียจากกระบวนการก่อสร้าง โดยกำหนดให้มีการจัดทำ Construction Waste Management Plan (CWMP) เป็นส่วนหนึ่งของแผนงานก่อสร้างและดำเนินการตามแนวทางเหล่านี้อย่างเคร่งครัด

• การนำเศษวัสดุก่อสร้างไปใช้ประโยชน์

          บริษัทสนับสนุนการนำวัสดุเหลือใช้จากการก่อสร้างไปแปรรูปและนำกลับมาใช้ใหม่ เช่น การบดคอนกรีตเก่าเพื่อนำกลับมาใช้เป็นวัสดุถมดิน และการแลกเปลี่ยนวัสดุเหลือใช้ระหว่างโครงการเพื่อใช้ในโครงการอื่น โดยกำหนดแนวทางการจัดเก็บและนำวัสดุที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ เช่น ไม้แบบก่อสร้างที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้หลายรอบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

          ในฐานะที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ในปี 2567 บริษัทและผู้รับเหมาก่อสร้างมีการกำหนดเป้าหมายร่วมกันในการบริหารจัดการด้านจัดการของเสีย โดยมีเป้าหมายการลดของเสีย ไม่น้อยกว่า 20% จากปริมาณของเสียทั้งหมดที่เกิดขึ้นในโครงการก่อสร้าง โดยดำเนินมาตรการเพื่อลดของเสียตั้งแต่ขั้นตอนออกแบบ การวางแผนการใช้วัสดุ การขนส่ง การก่อสร้าง และการจัดการของเสียที่เกิดขึ้นในโครงการ

ผลการดำเนินงาน  

  • การอบรมพนักงาน ในปี 2567 บริษัทได้จัดอบรมพนักงานเกี่ยวกับการบริหารจัดการของเสียจากกระบวนการก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานการบริหารจัดการของเสียตามมาตรฐาน ISO 14001 และ LEED รวมถึงการคัดแยกของเสีย การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และแนวทางการนำของเสียกลับมาใช้ใหม่ นอกจากนี้ยังมีการอบรมวิธีลดของเสียตั้งแต่การออกแบบโครงการจนถึงการดำเนินงานในไซต์ก่อสร้างเพื่อให้พนักงานสามารถนำไปปฏิบัติในงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การอบรมผู้รับเหมา บริษัทให้ความสำคัญกับการให้ความรู้แก่ผู้รับเหมาเกี่ยวกับการบริหารจัดการของเสียจากกระบวนการก่อสร้าง โดยได้จัดอบรมในปี 2567 ครอบคลุมมาตรฐานการจัดการของเสีย การกำหนดให้ผู้รับเหมาจัดทำแผนการจัดการของเสียเป็นส่วนหนึ่งของแผนการก่อสร้าง และการตรวจสอบประเมินผลการดำเนินงานด้านการลดของเสียอย่างต่อเนื่อง
  • ในปี 2567 จากเป้าหมายการลดของเสีย ไม่น้อยกว่า 20% จากปริมาณของเสียทั้งหมดที่เกิดขึ้นในโครงการก่อสร้างนั้น จากการตรวจสอบและประเมินผลการจัดการของเสียภายในโครงการ บริษัทพบว่าสามารถลดของเสียได้ 25% เทียบกับปริมาณของเสียทั้งหมดจากโครงการก่อสร้าง จากการดำเนินการ ดังนี้

    – การคัดแยกของเสียตั้งแต่ต้นทาง: จัดจุดทิ้งของเสียแยกประเภท เช่น คอนกรีต เศษเหล็ก พลาสติก และไม้

    – การใช้วัสดุหมุนเวียน: ใช้ตัดเหล็กเส้นให้เหลือเศษน้อยที่สุด คอนกรีตที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่

    – การลดของเสียระหว่างก่อสร้าง: ใช้เทคโนโลยี BIM (Building Information Modeling) ในการคำนวณปริมาณงานที่ใช้จริงเพื่อลดปริมาณวัสดุเหลือใช้จากการก่อสร้าง และ ลดการสูญเสียจากการก่อสร้างผิดตำแหน่ง

    – การนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่: เช่น ไม้อัดแบบหล่อคอนกรีตสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้หลายรอบ

7) การจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ

          การจัดการความหลากหลายทางชีวภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่บริษัทให้ความสำคัญในฐานะที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมและสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการออกแบบโครงการที่ช่วยปกป้องและฟื้นฟูระบบนิเวศ พร้อมประเมินความเสี่ยงและวางแผนป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมผ่านการควบคุมมลภาวะและการจัดการของเสีย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังดำเนินมาตรการอนุรักษ์แหล่งหลบภัยและทรัพยากรทางชีวภาพตามหลักการ EIA พร้อมติดตามและรายงานผลอย่างต่อเนื่อง รวมถึงดำเนินโครงการ EIA ให้แก่ลูกค้าจำนวนมาก โอกาสจากการบริหารจัดการที่ดีช่วยให้บริษัทสามารถเพิ่มคุณค่าให้กับโครงการ ตอบสนองต่อนโยบายสิ่งแวดล้อม และสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้มีส่วนได้เสีย อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและชุมชน รวมถึงความเสี่ยงในการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจกระทบต่อชื่อเสียงและโอกาสทางธุรกิจในระยะยาว ดังนั้น การดำเนินมาตรการด้านความหลากหลายทางชีวภาพอย่างเป็นระบบจึงเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

แนวทางการดำเนินงาน  

          ขั้นตอนหรือกระบวนการศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพในกระบวนการศึกษาและจัดทำรายงานด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัท มีดังนี้
 
1. กำหนดขอบเขตและวิธีการ
2. การสำรวจ ตรวจนับ ความชุกชุมความหลากหลาย และความคุ้มครองตามกฎหมาย
3. ประเมินความเสี่ยงและผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ
4. การกำหนดมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบ
5. กำหนดมาตรการติดตาม เพื่อเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อสร้างความยั่งยืนของระบบนิเวศวิทยาและความหลากหลายทางชีวภาพในการพัฒนาโครงการ
6. สร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนและรับฟังความคิดเห็นต่อแนวทางการพัฒนาโครงการ
 
บริษัทกำหนดเป้าหมายในการดำเนินการเรื่องการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ ดังนี้

ผลการดำเนินงาน  

          ในปี 2567 บริษัทร่วมกับบริษัท คันไซ เอนเนอร์จี โซลูชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด รักษาและปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพที่ได้รับผลกระทบจากกระบวนการก่อสร้าง และได้มีการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) เพื่อป้องกันผลกระทบในทางลบด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นในโครงการให้เกิดน้อยที่สุด โดยมีรายละเอียดโครงการ ดังนี้
 
          การดำเนินธุรกิจด้านที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมและสิ่งแวดล้อมของบริษัท เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยในปี 2567 บริษัทร่วมกับบริษัท คันไซ เอนเนอร์จี โซลูชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด รักษาและปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพที่ได้รับผลกระทบจากกระบวนการก่อสร้าง และได้มีการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) เพื่อป้องกันผลกระทบในทางลบด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นในโครงการให้เกิดน้อยที่สุด โดยบริษัทดำเนินการสำรวจและประเมินผลกระทบด้านความหลากหลายทางชีวภาพ จากการดำเนินการโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าคันไซ และได้ร่วมกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบ และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมในระยะก่อสร้าง และระยะดำเนินการ เพื่อดูแลและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศหรือความหลากหลายทางชีวภาพ และด้านสังคม เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการพัฒนาโครงการ และสร้างความรู้ความเข้าใจกับชุมชนผ่านกิจกรรมด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนตามกระบวนการรับฟังความคิดเห็น การสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการพัฒนาโครงการ และการสำรวจระบบนิเวศหรือความหลากหลายทางชีวภาพ คุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ รวมทั้ง มีส่วนร่วมในการตรวจติดตามและเฝ้าระวังผลกระทบคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะก่อสร้างโครงการ และได้ร่วมกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อทรัพยากรชีวภาพทางบก ดังนี้
 
          ทั้งนี้ รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าคันไซ ของบริษัท คันไซ เอนเนอร์จี โซลูชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด  สามารถดาวน์โหลด ได้ที่ https://eia.onep.go.th/
 

สรุปผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม

          จากการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทปฏิบัติตามนโยบายและกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้ บริษัทไม่มีกรณีพิพาทด้านสิ่งแวดล้อมหรือการละเมิดกฎหมายหรือข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง